วันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2551

หรือว่าเป็นคู่...ชีวิต (5)

“สวัสดีค่ะ”

“ผม ศรุต นะครับ ศรุต ที่เจอกันในงานของกระทรวงเกษตรฯ น่ะครับ” เขากลัวหล่อนจะจำไม่ได้

“จำได้ค่ะ” เสียงของนพนาศเริงร่า ไม่ว่าใครที่ฟังจากน้ำเสียงก็ต้องรู้ว่าเธอยิ้มจนแก้มจะฉีก หล่อนเองก็สัมผัสได้ถึงความสุขจากน้ำเสียงของศรุตเช่นกัน

“ไม่เห็นเจอในงานของกระทรวงฯ อีกเลย ตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้างครับ” เขาหาเรื่องคุย

“พอดี นาศบอกพี่ตุ่มว่าจะช่วยถึงตอนประกาศผลผู้ได้รับตำแหน่งชนะเลิศนะค่ะ” หล่อนยังอมยิ้มไม่หาย

“เอ่อ คุณนาศทำงานอะไรครับ” เขาต้องหาเรื่องใหม่เพื่อจะคุยกับหล่อน น้ำเสียงออกจะอายๆ เขินๆ

“นาศทำเรือนเพาะชำกล้วยไม้ค่ะ ผสมพันธุ์ใหม่ๆ พี่จะซื้อมั้ยคะ”

“ทำเรือนเพาะชำกล้วยไม้…”

“อ้อ วันนี้ทีมงานไปจัดงานที่สวนจตุจักร นาศว่าจะไปเอารูปจากพี่เก่งที่นั่นด้วย แล้วจะไปลองร้านอาหารใหม่ในสวนป่าริมน้ำที่อนุสาวรีย์ชัยฯ พี่ไปมั้ยคะ” คำพูดมันพาไป หล่อนไม่ได้ตั้งใจล่วงหน้าที่จะเปิดทางให้เขา

“…พี่ต้องไปงานแต่งงานกบ”

“กบ วชิรนันท์ เหรอคะ”

“แถวอนุสาวรีย์มีป่ามีบึงที่ไหน น่าจะมีแต่เสียงแตรรถละไม่ว่า”

“ก็ดีสิคะ มีทุกอย่าง อาจมีหิงห้อยด้วยนะคะ” นพนาศจินตนาการร้านอาหารใหม่ที่มีทุกอย่างพร้อมสรรพ

“ไว้พี่โทรไปหานะ ลองไปก่อนละกัน” น้ำเสียงของเขาดูซึมๆ ไป แตกต่างจากคำพูดตอนที่แนะนำตัวเองด้วยกลัวว่านพนาศจะจำไม่ได้

“สวัสดีค่ะ”

...............

บทสนทนาทางโทรศัพท์จบไปนานแล้ว แต่นพนาศอมยิ้มทุกครั้งที่หน้าศรุตลอยเข้ามาในใจ

งานที่สวนจตุจักรยิ่งใหญ่ทีเดียว มีร่วมร้อยโต๊ะเห็นจะได้ หล่อนก็เพิ่งเห็นคราวนี้นี่แหละ ที่เอารถเข้ามาจอดในสวนได้ ทีมผู้ชนะเลิศขึ้นเวทีให้สัมภาษณ์และต่อด้วยการแสดงและดนตรีเหมือนอย่างงานเลี้ยงฉลองทั่วไป นพนาศเข้าไปทักทายทีมงานที่เคยสำรวจสถานที่และประชุมกับทีมงานออแกไนเซอร์ เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ก็มางานนี้ด้วย แม้ตอนร่วมงานจะมีการปะทะคารม เกี่ยงงาน ความเห็นไม่ตรงกัน ขึ้นเสียง เสียดสีกันบ้างพอมีรสชาติ แต่พองานจบ ความเครียดก็จบตามไปด้วย

ตัวหล่อนเองไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับงาน เพราะหล่อนเข้ามาช่วยพี่ตุ่ม เจ้านายจำเป็นจริงๆ ทุกคนก็รู้ว่าหล่อนไม่เคยกั๊กงาน ปัญหาเรื่องการแย่งขายบัตรเข้าชมงานรอบตัดสิน หล่อนก็ไม่ได้ว่าอะไร ทั้งๆ ที่เรื่องเงินเป็นเรื่องที่ไม่เข้าใครออกใคร หล่อนประสานงานกับระดับบิ๊กของหลายหน่วยงาน แต่หล่อนก็ส่งต่อให้เจ้าหน้าที่ของกระทรวงรับงานต่อไป งานจึงเดินได้ไม่สะดุด หล่อนเห็นว่างานต่อเนื่องหลังจากได้ผู้ชนะเลิศแล้ว มีคนอยากทำหน้าที่จัดการต่อ หล่อนก็เบาใจ ไม่รู้สึกผิดเพราะละทิ้งงาน

นพนาศใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมง นั่งคุยกับผู้ใหญ่ในกระทรวง รวมไปถึงผู้ใหญ่บางท่านที่พี่ตุ่มยังประหลาดใจที่หล่อนรู้จักและเข้าไปคุยอย่างสนิทสนม หล่อนเคยบอกพี่เบี้ยวที่ทำงานร่วมกันว่า “นาศน่ะ ได้ทุกอย่างที่ต้องการจะได้ เพียงแต่นาศไม่ได้เป็นคนทะเยอทะยานเท่านั้นเอง หลักของนาศในเรื่องนี้จะตอบคำถามของพี่ได้ทุกข้อ” พี่เบี้ยวยังงงๆ แต่แล้วเขาก็เล่าให้หล่อนฟังว่า เขาไม่เข้าใจหล่อนในเรื่องไหน จริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องเล็กน้อยที่คนมองต่างมุม เพียงแค่ต่างฝ่ายต่างมองกันในแง่ดีก็เท่านั้น

นพนาศขอแค่ให้คนที่เกี่ยวข้องกับหล่อนมองหล่อนตามความเป็นจริง คนอย่างหล่อนไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใครหรอก แต่หล่อนก็ปลงแล้วล่ะ ว่าการที่หล่อนไม่โกรธใครแม้สมควรจะต้องโกรธสักแค่ไหน ใครๆ ก็ต้องแปลกใจ คิดว่าหล่อนอาจจะคิดอาฆาตอยู่ในใจแต่แสร้งยิ้มกลบเกลื่อน แล้วหล่อนก็ทำได้แนบเนียนซะด้วย หล่อนจึงเป็นคนที่น่ากลัวสำหรับใครๆ โดยเฉพาะผู้ชาย

นพนาศขออย่างเดียว ขออย่าให้ศรุตกลัวเธอเหมือนผู้ชายคนอื่นๆ เขาเองเป็นคนบอกว่า “มาดนางพญา นาศเป็นคนที่ผู้ชายกลัว” แม้หล่อนจะอมยิ้มทุกครั้งที่นึกถึงเขา แต่หล่อนก็อดไม่ได้ที่จะกังวลกับคำพูดสุดท้ายของเขาก่อนวางหูโทรศัพท์

“ไว้พี่โทรไปหานะ ลองไปก่อนละกัน”

คนให้ความสำคัญกับน้ำเสียงและสีหน้ามากกว่าตัวคำพูดที่สื่อความหลายเท่านัก นพนาศไม่ชอบคุยโทรศัพท์กับใครๆ เพราะหล่อนเป็นคนเสียงดุ หล่อนกลัวว่าการสื่อสารกับคนอื่นทางโทรศัพท์จะทำให้เกิดการเข้าใจผิด เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

สมัยหล่อนทำงานติดต่อกับชาวต่างประเทศ มีแต่อีเมลและโทรศัพท์คุยกัน เมื่อครั้นหล่อนได้รับเลือกให้ไปเข้าคอร์สฝึกอบรมเจ้าของแฟรนไชส์การจัดรูปแบบร้านขายต้นไม้อย่างถูกวิธี เจ้าหน้าที่ชาวต่างประเทศที่ติดต่อประสานงานกับหล่อนมาหลายเดือนทำท่าตกใจอย่างเห็นได้ชัด เขาพูดออกมาตรงๆ ว่า เขาจินตนาการว่า หล่อนคงจะเตี้ยม่อต้อ สวมแว่นหนาเตอะ และอายุสี่สิบขึ้นไป แต่ปรากฏว่า คนที่เขาเห็นช่างแตกต่างจากที่คิดไว้ราวฟ้ากับดิน

นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หล่อนจะพยายามเลือกวิธีการติดต่อสื่อสารให้เป็นอีเมลหรือไม่ก็พบหน้าตากันไปเลย อย่างน้อยหน้าตาและรูปร่างของหล่อนก็คงจะเบนความสนใจและลดความสำคัญของเสียงดุของหล่อนลงไปบ้าง

ถึงกระนั้นก็เถอะ หล่อนก็ยังเป็นห่วงเรื่องตาดุของหล่อนอยู่ คนกลัวหล่อนก็เพราะตากลมโตคู่นี้ด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย นพนาศมักจะแสดงออกทางสีหน้าและเบิ่งตาบ่อยๆ คนไทยที่ขี้กลัวทั้งหลายจึงไม่ชอบหน้าหล่อนเมื่อแรกเจอไม่น้อย บ้างก็ว่าหล่อน สวย เริด เชิด หยิ่ง หรือไม่ก็คิดว่าตัวเองดีกว่าใครถึงได้ไม่เสวนากับคนอื่น

เรื่องภาพลักษณ์เป็นเรื่องที่สร้างกันได้ แต่สำหรับนพนาศแล้ว หล่อนรู้สึกจะโชคไม่ดีในเรื่องนี้ ใครที่ได้รู้จัก พูดจากับหล่อนจะรู้ได้ทันทีว่าหล่อนแตกต่าง ไม่ได้มีนิสัยหยิ่งหรือดูถูกคนอื่นอย่างภาพลวงที่หลอกตาใครๆ

คำพูดประโยคสุดท้ายของศรุตกวนใจหล่อนตลอดทางไปร้านอาหารแห่งใหม่ เสียงหัวเราะจากมุขตลกลามกของเพื่อนชาวสีม่วงไม่ได้ทำให้หล่อนคลายกังวลไปได้เลย ดูเหมือนหล่อนจะกลายเป็นคนอารมณ์แปรปรวนไปแล้ว เมื่อใดที่ความกลัววิ่งเข้ามาในใจ กลัวว่าการที่หล่อนพลั้งปากชวนเขาจะดูเป็นคนไม่มีค่า นพนาศก็ดูซึมๆ แต่บางครั้งหล่อนก็ยิ้มขึ้นมาเฉยๆ เมื่อใดที่หล่อนคิดว่า นั่นเป็นคำมั่นของศรุตที่ให้ไว้ หล่อนก็พร้อมที่จะรอ ไม่ว่าจะนานแค่ไหน

ความห่างทำให้ความรู้สึกพิเศษเติบโตเหมือนกล้วยไม้ที่หล่อนปลูก บางครั้งก็ต้องงดรดน้ำเป็นอาทิตย์เพื่อให้กล้วยไม้ที่แตกหน่อใหม่เติบโตสมบูรณ์เอาตัวรอดหนีตายด้วยการรีบออกดอก ก่อนที่หล่อนจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับวงการกล้วยไม้อย่างเต็มตัว การทรมานต้นไม้อย่างนี้ไม่ดีเลย แต่เมื่อหล่อนได้ศึกษาและทำความเข้าใจกับธรรมชาติของพืชชนิดนี้ หล่อนก็จำต้องทรมานกล้วยไม้เพื่อกล้วยไม้แต่ละต้นเอง

น่าประหลาดที่ความต้องการของกล้วยไม้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ชายเช่นกัน ชีวิตรักที่ผ่านมา หล่อนเข้าใจว่า หล่อนประพฤติตัวดี ไม่เคยหลอกใครหรือทำให้ชอกช้ำ แต่แล้วใยแฟนๆ ของหล่อนกลับหันไปหาผู้หญิงที่ใช้เล่ห์ หลอกล่อผู้ชายสารพัด แล้วก็ถึงบังอ้อเมื่อหล่อนอ่านหนังสือด้านจิตวิทยา Why men marry bitches นพนาศสรุปได้ว่า ผู้ชายก็เหมือนกล้วยไม้ ผู้ชายเป็นเพศที่รักการแข่งขัน เอาชนะ หากสิ่งใดได้มาง่ายก็ไร้ค่า การที่ผู้ชายตกบ่วงเสน่ห์ของผู้หญิงเจนจัดก็เพราะมันท้าทาย มันตอบสนองสัญชาตญาณดิบของเพศผู้

นพนาศไม่รู้ว่าผิดหรือถูกที่หล่อนแปลความหมายคำพูดของศรุตอย่างนี้ อันที่จริง หากศรุตเป็นคนเจ้าชู้ เจอใครก็ชอบไปเรื่อย หากผู้หญิงเปิดโอกาสให้ขนาดนี้แล้ว ใครจะโง่ไม่สานต่อความสัมพันธ์ เฉกเช่นเดียวกับที่หล่อนไม่ผลีผลามอยู่สานความสัมพันธ์กับศรุตเมื่อวันงานเลี้ยงครั้งสุดท้าย หล่อนคิดเข้าข้างตัวเองว่า ทั้งหล่อนและศรุตต่างต้องการให้ความสัมพันธ์ครั้งนี้ยั่งยืน ทั้งสองจึงรอคอย ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ความรู้สึกที่แท้จริงของตน นพนาศคิดไปไกลขนาดที่ว่า ศรุตอาจจะต้องการเวลาเพื่อ “เคลียร์” สัมพันธ์กับหญิงอื่นก่อนที่จะตั้งใจใช้เวลากับผู้หญิงที่เขาปรารถนาจะรับข้อเสียนานาของเธอคนนั้นด้วยความอดทนอย่างสูง เพื่อแลกมาซึ่งรักอย่างไม่มีเงื่อนไขจากหญิงอันเป็นที่รัก

ร้านอาหารอันเป็นที่มาของความสัมพันธ์ที่ค่อยๆ เติบโตของสองมนุษย์ที่ผ่านความชอกช้ำจากการแต่งงาน หลบเร้นอยู่ในความแออัดของกรุงเทพได้มิดชิดอย่างที่สุด ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ใครกันที่ดูแลต้นไทรใหญ่ต้นนี้ให้อยู่รอดปลอดภัยท่ามกลางตึกสูงระฟ้ารอบด้าน พร้อมๆ กับบึงน้ำที่ขอบบึงด้านหนึ่งติดกับต้นไทรใหญ่กิ่งโน้มลงคล้ายคนก้มลงเอามือแตะน้ำ ณ ตำแหน่งที่กิ่งเรี่ยน้ำเอนไปมาโบกพัดให้น้ำกระเพื่อมเป็นวงๆ ออกไป วงเล็กวงใหญ่ตามน้ำหนักและแรงลมที่พัดไกวปลายใบที่อยู่ปลายสุดของแต่ละกิ่ง ขอบบึงอีกด้านมีท่อนไม้ไผ่มัดเป็นแพวางอยู่เป็นช่วงๆ พอให้การสนทนาของแต่ละโต๊ะที่ตั้งอยู่บนแพเป็นส่วนตัวหากไม่ส่งเสียงดังจนเกินไป ถึงยังไง บรรยากาศก็บังคับอยู่ในตัวแล้วให้คนที่มารับประทานอาหารที่ร้านแพบึงไทรใช้เสียงให้ค่อยที่สุดเพื่อไม่ให้รบกวนกระรอก นกและหิงห้อยที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ว่าจะมารวมกันอยู่ใจกลางกรุงเทพ

ศรุตจะได้เห็นหิงห้อยอย่างที่นพนาศจินตนาการไว้จริงๆ หากเขาไม่มองว่าการที่หล่อนทอดสะพานเป็นเรื่องเสียหาย เป็นเรื่องที่ลดความท้าทายหรือของที่ได้มาง่ายๆ ที่อาจส่งผลทำลายความรู้สึกดีๆ ที่ทั้งสองมีให้แก่กันในค่ำวันนั้น

ไม่มีความคิดเห็น: