วันศุกร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2552

หรือว่าเป็นคู่...ชีวิต (12)

“ศรุตก็ใช้มุขนั้นกับผู้หญิงทุกคนนั่นแหละ ทายนิสัยแล้วก็บอกว่าจะเลี้ยงดู ล่าสุดนี่ก็ได้นางแบบโปสเตอร์โฆษณากล้วยไม้คนใหม่เป็นบ้านล่าสุด เขาจดทะเบียนซ้อนแล้วซ้อนอีกไม่รู้เท่าไหร่ แล้วรู้มั้ย ที่เขาเลิกกับเมียเก่าน่ะ เพราะเมียทนไม่ไหว เขาถลุงเงินซะไม่รู้เท่าไหร่ แต่ที่ว่าเลิกกันด้วยดีก็เพราะมีผลประโยชน์ร่วมกันอยู่ เมียเก่าของเขาน่ะรวยมาก” ป้าเป้ใส่เต็มที่

“นาศก็รู้ๆ อยู่แหละ เพราะเขาเคยบอกว่า เด็กคนนึงของเขาเนี่ย เขาก็คบไปงั้นๆ แต่ที่คบเพราะทำให้โชคดี ก็แสดงว่าชอบเล่นการพนัน” นพนาศพูดเหมือนไม่ได้ตกอยู่ในมนต์เสน่ห์ของศรุต ถ้าไม่หลงแล้วจะอะไรซะอีก ที่พอรู้ว่าคนที่ตนชอบเป็นนักพนันมือเติบ

“คราวนี้เก็ทรึยังล่ะ” ป้าเป้ถามย้ำ
“ก็ทำไมป้าไม่บอกอย่างงี้ตั้งแต่แรกล่ะ”
“นี่พี่ฬารพอได้ยินเข้าก็หัวเราะใหญ่เลยนะ แต่ป้าไม่ได้บอกหรอกว่าเป็นใคร”
“ก็ดีแล้วนีคะ” ยังไงนพนาศก็ไม่อยากให้ใครๆ มองว่าโง่นัก

ไปถึงร้านประจำ...

ช่วงปีใหม่ น่าแปลกที่คนหายหน้าหายตาไปเยอะ ปีที่แล้ว ที่ร้านยังมีเด็กๆ มาสังสรรค์เฮฮากันเยอะแยะจนทำให้แขกประจำดูจะกลายเป็นคนแปลกหน้า ปีนี้แตกต่าง ปีนี้มีแต่แขกประจำที่เห็นกันมาเป็นปีๆ พวกที่รากงอก ไม่รู้จะไปที่ไหน ก็กลับมาตายรัง คราวนี้เด็กหน้าใหม่คือโก้กับบอส บอสทำตัวกลมกลืนเพราะเป็นคนพูดเก่ง ป้าเป้ชอบบอกใครๆ ว่า “เด็กคนนี้รู้จักวางตัว เข้าสังคมเก่ง” ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น นพนาศคนนึงล่ะที่เห็นด้วย การสนทนาหลังจากที่นพนาศเริ่ม “ตาสว่าง” เรื่องศรุตนั่นเองที่บอกให้หล่อนรู้ว่า สิ่งที่ศรุตคุยกับหล่อนไม่ได้เป็นเรื่องแปลกประหลาด แม้แต่บอสเองก็บอกได้ไม่ต่างจากศรุต

“ถ้าชอบจริงก็ต้องโทรมาตั้งแต่วันรุ่งขึ้นแล้ว นี่ไม่โทรมาแสดงว่ามีให้เลือกหลายคน” บอสพูดอย่างมั่นใจ
“ปกติก็ต้องโทรเช้าโทรเย็นด้วยซ้ำ คนมันคิดถึงก็ต้องโทร” บอสย้ำต่อเพื่อลบล้างความคิดของนพนาศ คราวนี้หล่อนเงียบ ดูจ๋อยๆ เพราะได้เด็กอายุน้อยกว่าถึง 8 ปีสอนมวย

“ถ้าใครเป็นแฟนผม ผมให้หมดน่ะ ไม่ว่าเบอร์มือถือ เบอร์บ้าน”
“แบบนี้แหละน่ากลัว ทำเหมือนเปิดเผย แฟนเลยไว้ใจ” นพนาศคิดขวางโลกเหมือนเคย
“โอ้ย มีคนเดียวก็ปวดหัวจะแย่แล้ว ผมไม่หาเรื่องใส่ตัวหรอก” บอสพูดเหมือนการมีแฟนเป็นภาระหนักอกซะเหลือเกิน

จากนั้น บทสนทนาก็เปลี่ยนเป็นเรื่องอื่น เรื่องธรรมะบ้าง เรื่องงานการของบอสบ้าง เพราะโจ้ดูจะเงียบๆ ขรึมๆ ถ้าไม่มีใครถามก็ไม่พูด

พอคนข้างในร้านพากันกลับซะส่วนใหญ่ พวกขาประจำขี้ยาก็หยุดสูบบุหรี่ชั่วคราวหันไปร้องคาราโอเกะในร้าน เมื่อถึงเพลงจังหวะร็อค นพนาศก็วิ่งไปทำหน้าอ้อนเบน ลูกพี่ลูกน้องคนเก่งที่นำหล่อนเต้นรำได้ นพนาศชอบเต้นรำแบบที่หมุนไปมาแล้วคู่เต้นก็จับตัวไว้ให้หล่อนเอียงลงต่ำยกขาเตะขึ้นสูง วันนั้นท่าทางหล่อนจะเต้นเหมือนมืออาชีพ พี่จูนทักว่าหล่อนต้องไปแอบเรียนเต้นรำมาแน่ๆ เชียว นพนาศสลัดผ้าพันคอที่พันไว้แก้โป้ วันนี้หล่อนใส่บอดี้สูทสีม่วงกับกางเกงยีนส์สีซีดพร้อมกับรองเท้าส้นสูงสี่นิ้วอย่างเคย หล่อนก็มีความสุขอยู่กับเรื่องง่ายๆ ไม่กี่อย่าง ร้องเพลง เต้นรำ นั่งอยู่กับเพื่อนไม่กี่คนที่เข้าใจหล่อน วันนี้นพนาศอาจจะร้องเพลงแบบซังกะตาย แต่ก็ยังดีกว่าที่หล่อนจะทำตัวเศร้าซึมให้คนรอบข้างไม่สบายใจ

คืนวันดำเนินไป ไม่มีอะไรแตกต่างนัก ที่จะต่างก็คงจะเป็นsms และสายจากพี่ณัฐหายไปจริงๆ หายไปตั้งแต่ที่หล่อนไม่ตอบ ไม่รับ ไม่ใช่แค่สิ่งนั้นหรอกนะที่หายไป ความคิดถึงคนึงหาศรุตที่หล่อนพร่ำเพ้อพรรณนาก็ลดน้อยลงไปทุกทีๆ แต่นพนาศกลับทบทวนความสัมพันธ์กับสารพัดหนุ่มที่เข้ามาในชีวิตหล่อน วันพรุ่งนี้พ่อหนุ่มต่างชาติที่คิดถึงหล่อนทุกนาทีจะกลับมา ส่วนพ่อหนุ่มที่มีหลักการมั่นคงดั่งหินผาก็ sms มาสุขสันต์วันปีใหม่พร้อมๆ กับแจ้งการโอนเงินค่าเช่า สิ่งสุดท้ายที่เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างหล่อนกับเขาไว้เกือบปีที่ผ่านมา

ป้าเป้ชวนนพนาศไปกินข้าวที่บ้าน วันนี้ป้าทำสะตอผัดกุ้ง ไข่เจียวหมูสับและแกงจืดหัวไชเท้า คนทำอาหารเก่งไม่ใช่คนที่ทำอาหารวิลิศมาหรา แต่คือคนที่ทำอาหารพื้นๆ ได้อร่อย กินกี่ทีก็ไม่มีเบื่อ

ในเมื่อไม่ต้องมามัวคิดถึงใคร คนที่เขารักก็ไปตัดสัมพันธ์ซะแล้ว นพนาศเลยไม่กังวลเท่าใดนักกับการกินสะตอเป็นอาหารช่วงบ่าย ใครๆ ก็รู้กิตติศัพท์ของสะตอ นอกจากจะผลิตกลิ่นปากแล้วเข้าห้องน้ำออกมา คนที่เข้าคนต่อไปก็ต้องรู้ว่าคนเข้าห้องน้ำก่อนหน้าต้องกินสะตอมาแน่ๆ ป้าเป้ยังไม่วายพูดถึงสรรพคุณของสะตอที่ช่วยดีท็อกซ์ของเสียในร่างกายได้ดีสำหรับผู้หญิง

นพนาศก็ไม่ได้คิดจะไปไหนต่อวันนั้นอยู่แล้ว หล่อนแค่ต้องเอารถไปซ่อมแล้วก็อาจจะไปขัดตัวที่ร้านเจ้าประจำ ระหว่างที่หล่อนนั่งกินอาหารที่ป้าเป้บรรจงปรุงให้นั้น ดอมก็พาแต้วแฟนนัมเบอร์วันมาที่บ้านป้า

“ป้าว่ามันแปลกๆ มั้ย แทนที่จะพาแฟนไปเที่ยว กลับพามาหาป้าเนี่ย” นพนาศไม่ค่อยเข้าใจการกระทำของเด็กวัยนี้เท่าไหร่นัก

“ทีนี้เข้าใจรึยังล่ะ ว่าฉันเปิดเนอร์สเซอรี่อยู่เนี่ย มีอะไรก็บอกว่าอยู่กับป้าเป้ ทั้งเบอร์หนึ่งเบอร์สอง บอสก็อีกคน ฉันต้องบอกแม่เขาว่าไม่ต้องเป็นห่วง ดูแลให้อยู่”

“ว่าแต่ทั้งดอมกับบอสเค้าไม่กลัวป้าบ้างเหรอ เขาก็หน้าตาดี หุ่นดีกันทั้งคู่ เขาไม่กลัวป้าทำอะไรเขาเหรอคะ” นพนาศสงสัยอะไรก็ถามไปตรงๆ อย่างนั้น ใครรับไม่ได้ก็เลิกคบกับหล่อนไปไม่รู้กี่ต่อกี่ราย

“ฉันน่ะไม่หาเรื่องใส่ตัวไปยุ่งกับผู้ชายแท้ๆ หรอก ที่เคยโดนมาก็เข็ดจะตายแล้ว ไม่ต้องเป็นแฟนแต่อยู่ใกล้ๆ ก็แฮปปี้แล้ว” ป้าเป้พูดอย่างนี้หลายครั้งแล้ว พอๆ กับที่ป้าจะฉายอะไรซ้ำๆ เป็นประจำ เหมือนกับยายของนพนาศไม่มีผิด หล่อนจึงรู้สึกสบายใจ...เหมือนพูดกับคนคุ้นเคย ถ้าจะโกหกก็ต้องยอมล่ะ เพราะโกหกได้เหมือนกันทุกครั้ง

ยังไงนพนาศก็ยังแอบสงสัยทั้งดอมและบอสต่างเคยมานอนที่บ้านป้าเป้ หล่อนคิดว่าโดยปกติแล้ว ผู้ชายไม่น่าจะมาสุงสิงกับเกย์ขนาดนี้ แต่ไอ้ครั้นจะไปคิดอกุศลกับป้า หล่อนก็ยังนึกเหตุผลไม่ออกว่า ทำไมป้าจะต้องปิดหล่อน ไม่ว่าใครก็รู้ว่าป้าเป็นเกย์ ยังไงก็ต้อง “กิน” ผู้ชาย

แต่ผู้ชายสองคนนี้สิ หล่อนไม่เข้าใจจริงๆ

อยู่กับป้าไปนานๆ หล่อนก็เริ่มเข้าใจ ผู้ชายโดยส่วนใหญ่ก็อยากอยู่กับคนที่อยู่ด้วยแล้วรู้สึกสบายใจ ดอมเองโทรหาป้า รายงานตลอดว่าวันนี้อยู่ไหน ไปไหน เดี๋ยวแวะมาหานะ บอสอาจจะน้อยหน่อย วันก่อนโจ้บอกหล่อนว่า “ก็ป้าอยู่คนเดียวไม่ได้ ผมกับบอสก็ผลัดกันอยู่เป็นเพื่อนนะครับ” ส่วนป้า...มักจะบอกหล่อนว่า “พ่อดอมมันมาอยู่ด้วย มันก็รู้สึกไม่เป็นส่วนตัว บางทีโทรมาหาป้า หาเพื่อนคุย ทั้งๆ ที่พ่อก็อยู่ชั้นล่าง” แล้วเสริมต่อว่า “พ่อบอส มีเมียใหม่ เมียใหม่มันก็...รู้ๆ อยู่ บอสมันเลยไม่ค่อยอยากกลับบ้าน”

นพนาศเอง หล่อนก็สบายใจเมื่ออยู่กับป้า ป้าเป้เคยมาอาศัยบ้านหล่อนทำงานทั้งวันทั้งคืน ต่างคนต่างอยู่ หล่อนก็กวาดบ้าน รีดผ้า ล้างห้องน้ำของหล่อนไป ดูแลสวนกล้วยไม้อย่างสบายใจเพราะไว้ใจป้าแม้จะรู้จักได้ไม่นาน ส่วนป้าเป้ก็ทำงาน บ่นเป็นพักๆ ว่างานแบบนี้ทีหลังไม่รับแล้ว ป้าเป้เป็นนักแปลบทพากย์หนังที่หาตัวจับยาก ป้าเป้ทำงานเร็ว คุณภาพสูง ทำให้นักพากย์ทำงานง่าย ป้าเป้จะดูจำนวนพยางค์ให้พอดีกับปากของตัวแสดง เพราะฉะนั้นนักพากย์ก็เพียงทำตามที่ป้าแปลไว้ ไม่ต้องใช้ความพยายามเพิ่มเติมในการพูดให้เร็วขึ้นหรือช้าลงเพื่อให้ตรงตามปากของตัวแสดง

คนที่ทำงานอิสระเหมือนกัน เซ้นซิทีฟกับสิ่งรอบตัวคล้ายกัน ก็เข้าใจกันได้ไม่ยาก

ในความคิดของนพนาศ น้องแต้วหน้าตาหน้ารักกว่าน้องหมวยนัมเบอร์ทูของดอมเยอะ “ก็สมแล้วล่ะ ที่จะยอมเหนื่อย อึดอัดใจกันน้องแต้ว”

ป้าเป้ ในฐานะที่ปรึกษาของน้องๆ ในคอนโทรลทั้งหลายขยายให้นพนาศฟังว่า “แต้วกำพร้าแม่ตั้งแต่เล็ก เขาก็ต้องดีมานด์มาก ต้องการความรักเอาใจใส่ ดอมต้องเป็นของเขาคนเดียว นี่ป้าก็ยังไม่รู้เลยว่าแฟนเขาจะว่าไง ดอมก็ได้แต่บอกทุกครั้งที่แต้วถามว่า “อยู่กับป้าเป้” เฮ้อ!” ป้าเป้กลัวว่าจะมีใครเกลียดโดยไม่จำเป็นตามประสาคนที่ไวและแคร์ความรู้สึกของคนรอบข้าง

น้องแต้วมาวันนี้ในชุดนักศึกษา ดอมสะพายกระเป๋าถือสีแดงสดของแต้วเข้าบ้านป้ามา เห็นแล้วนพนาศก็เปรียบเทียบกับชายหนุ่มในชีวิตหล่อน เท่าที่จำได้ ไม่มีแม้สักคนที่เสนอจะถือกระเป๋าสะพายให้...

สองคนมานั่งในบ้านเงียบๆ ดูทีวี สักพักดอมก็เอาหมอนมาหนุนตักแต้วเล่น พร้อมหยอกกันพอหวานให้สาวแท้และสาวเทียมรุ่นใหญ่อิจฉาพอหอมปากหอมคอ

กินข้าวบ่ายเสร็จก็ถึงเวลาที่นพนาศต้องเอารถไปซ่อม สองหนุ่มสาวขออาศัยรถเข้าเมืองไปด้วย
"อะไรวะ มานั่งๆ นอนๆ แล้วก็กลับ เด็กสมัยนี้มันไม่รู้จะพาแฟนไปไหนรึไงถึงพามาหาญาติผู้ใหญ่อย่างงี้ฟะ" คงไม่มีใครอ่านความคิดของนพนาศในเรื่องนี้

ส่งรถซ่อมเสร็จ นพนาศก็เดินมาขึ้นรถไฟฟ้าเพื่อต่อรถใต้ดินไปที่บ้านป้าเป้อีกครั้ง คืนนี้เราจะไปรับประทานอาหารค่ำที่ร้านไทรริมบึงของนพนาศ แม้หล่อนจะไม่สมหวังและเริ่มไต่จากเหวนรก แต่ความประทับใจที่หล่อนมีต่อร้านอาหารร้านนี้ก็ยังไม่เสื่อมคลาย

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นระหว่างที่นพนาศกำลังเดินไปขึ้นรถไฟฟ้า...

ไม่มีความคิดเห็น: