วันศุกร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2552

หรือว่าเป็นคู่...ชีวิต (14)

นพนาศและป้าเป้พาบอสไปร้านไทรริมบึงที่อนุสาวรีย์ชัยฯ เป็นครั้งแรก...

นพนาศนั่งรถบอส เหลียวมองไปรอบๆ ดูการจัดของในรถ เป็นระเบียบเรียบร้อย...ไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถนอนที่บ้านเพื่อนอีกคนที่ระดับการจัดการบ้านช่องแตกต่างจากรถของตัวเองแบบสุดขั้ว หล่อนเริ่มมองบอสดีขึ้นจากเด็กเหลือขอ งานการไม่ทำ ไม่เป็นโล้เป็นพาย ภาพของบอสในความคิดของนพนาศตลอดมาเป็นเด็กที่ไม่น่าจะเรียนจบปริญญาตรี แต่โชคดีที่ได้เรียนการแสดง แล้วก็เล่นดนตรีได้หลายชิ้น เลยได้เป็นครูสารพัดวิชา อันที่จริง หล่อนน่าจะมองเขาว่าเป็นคนเก่ง แต่ไฉนบอสในจินตนาการของหล่อนถึงได้แย่ขนาดนั้นก็ไม่รู้

ถึงร้านอาหาร บอสดูจะพอใจบรรยากาศตั้งแต่เดินเข้าไปยังไม่ถึงร้าน แพไม้ไผ่ริมน้ำโดยรอบ อีกฝั่งมีต้นไทรใหญ่เป็นภาพที่ทั้งนพนาศและป้าเป้เห็นกันมาแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกของบอส ไม่รู้ว่านพนาศคิดอย่างไร หล่อนโยงเรื่องความคาดหวังจากการเทสต์หน้ากล้องไม่ผ่านกับความประทับใจของบอสที่มีกับร้านอาหารแล้วพูดขึ้นว่า "อะไรที่เราหวังก็มีแต่เจ๊งกับเจ๊า แต่ถ้าเราไม่หวังก็มีแต่เจ๊ากับเจ๋ง"

"ผมก็ไม่เคยหวังอะไรอยู่แล้ว"

นพนาศสะดุดในคำพูดของบอส แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเขาหมายความถึงอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า

นั่งโต๊ะ สั่งอาหาร มะเขือยาวสอดไส้ ปีกไก่ยัดไส้ ต้มยำปลากระพง นพนาศเลือกเองทั้งหมด ตามธรรมเนียมของผู้ที่ควรจะเป็นเจ้าภาพมื้อนั้น...รอเวลาให้พนักงานมาเชิญไปร้องเพลงบนเวที นพนาศเหลือบไปเห็นสปอร์ตไลท์ที่ส่องลงน้ำ สะท้อนเป็นเงาที่ต้นไทร เงากระเพื่อมไปมาตามแรงลม "สวยจังเลย ดูนั่นสิ นี่ถ้าเขาส่องไปที่ต้นไม้มันก็ไม่สว่างอย่างนี้นะคะ แล้วแสงก็นวลด้วย เหมือนกับแสงไฟที่ส่องเพดาน ความสว่างนั้นก็จะไม่แสบตา" นพนาศดูจะตื่นเต้นกับสิ่งใหม่ที่เพิ่งค้นพบ

อยู่ดีๆ บอสก็พูดขึ้นว่า "ถ้าจะอ่านผมน่ะ จริงๆ แล้วไม่ยากหรอก แค่รู้จุดนิดเดียวก็เข้าใจทะลุปรุโปร่ง"

นพนาศฟังแต่ก็ไม่เข้าใจว่าบอสจะพูดอย่างนั้นไปทำไม

ถึงคราวโต๊ะของสามคนสามเพศร้องเพลงแล้ว ด้วยบรรยากาศของร้านและแขกสูงวัย เพลงที่ร้องๆ กันก็ไม่พ้นสุนทราภรณ์หรือชรินทร์อะไรเทือกนั้น ได้ทีนพนาศขุดกรุเพลงโบราณขึ้นมาร้อง คราวนี้หล่อนเลือกร้องเพลง "จูบ" ก่อนขึ้นเวทีก็เหมือนจะพูดเรื่องแต่หนหลังให้บอสฟังว่า "เพลงนี้ สามีพี่ร้องแล้วส่งให้ทางอีเมล" หล่อนก็พูดไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้จะระลึกความทรงจำแต่หนหลัง สำหรับนพนาศแล้ว เรื่องใดๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตไม่ว่าจะทำให้หัวเราะหรือร้องไห้ ก็เป็นเรื่องที่หล่อนจำเสมอ หลังจากที่ผ่านมรสุมชีวิตมาหลายลูก หล่อนเริ่มไม่รู้แล้วว่า สิ่งที่ทำให้หล่อนยิ้มเป็นสิ่งดีๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตหรือไม่ บางครั้งคนที่ทำให้หล่อนโกรธ เกลียด โมโห กลับเป็นยาชูกำลังให้หล่อนสู้เพื่อพิสูจน์ตัวเอง ทำให้หล่อนได้ลุกขึ้นมายืนใหม่ แสดงให้ใครๆ ที่เข้าใจหล่อนผิดรู้ว่า ตัวตนที่แท้จริงของหล่อนเป็นอย่างไร

จูบ คุณคิดว่าไม่สำคัญ
แต่เมื่อคุณจูบฉัน ทำไมฉันสั่นไปถึงหัวใจ
คุณเป็นคนจูบ คุณรู้บ้างไหม
ฉันหนาวฉันร้อนเหมือนดั่งเป็นไข้ ทุกที ทุกที

จูบมีฤทธิ์สะกิดหัวใจ ตัดอย่างไรไม่ไหว
มันทำฉันให้ไม่สมประดี
ทำไมคุณชอบ ตอบฉันหน่อยซี
หรือว่าเป็นประเพณีสำหรับผู้ชาย

ดิน...ยังรู้แยก แตกเพราะรอยไถคราด
แต่ฝนยังซัดสาดรอยหาย
คุณจูบฉัน รอยจูบนั้นย่อมติดจนตาย
จะลบรอยจูบอย่างไรไม่หาย อย่าลืม อย่าเลือน

จูบอย่าคิดว่าไม่สำคัญ จูบเบา ๆ เท่านั้น
ยังทำฉันสั่นดังฟ้าสะเทือน
คุณเป็นคนจูบ อย่าลืมอย่าเลือน
รักไม่จริงก็อย่ามาเฉือน หัวใจฉันด้วยจูบเลย...

นพนาศเดินกลับมาที่โต๊ะ ป้าเป้ขึ้นร้องเพลงอลังการอีกแล้ว หล่อนเคยขอให้ป้าร้องเพลงที่มันไม่ "อลัง" ดูบ้าง แต่ดูเหมือนป้าเป้เกิดมาเพื่อร้องเพลงโชว์ พอป้าร้องเพลงธรรมดา มันเลยขาดความเป็นป้าเป้อย่างไรไม่รู้ ป้าเดินกลับมา ถึงตาบอสบ้าง

"พี่ไปร้องเพลงคู่กันมั้ย แต่ปางก่อน" บอสก้มหน้าพูด เหมือนจะหลบไม่สบสายตา

"ไปสิ ได้ ได้" นพนาศงงนิดๆ เพราะส่วนใหญ่แล้ว มักจะเป็นตัวหล่อนเองที่คะยั้นคะยอชาวบ้านชาวช่องให้มาร้องเพลงคู่กับหล่อน

รอคอย เธอมาแสนนาน ทรมาน วิญญาณหนักหนา
ระทม อยู่ในอุรา แก้วกานดา ฉันปองเธอผู้เดียว

เธอเอย แม้เราห่างแสนไกล ชายใด ดวงใจฉันไม่แลเหลียว
รักเธอ แน่ใจจริงเชียว รักเธอ รักเดียวนิรันดร์

* แม้นมีอุปสรรค ขวากหนาม ขอตาม มิยอมพลัดพรากจากกัน
จะชาติไหน ไหน ไม่ยอมห่างไกลกัน ดวงจิตผูกพัน รักนั้นมีไว้เพียงเธอ

** คงเป็น รอยบุญมาหนุนนำ รอยกรรม รอยเกวียน หมุนเปลี่ยนเสมอ
ให้เรา ได้มาเจอะเจอ ฉันและเธอพบกันร่วมสุขสมดังรอคอย

น่าประหลาดที่นพนาศลืมร้องท่อนของตัวเอง หล่อนเป็นพวกมีลางสังหรณ์ ระหว่างร้องก็หันมองหน้าบอส ดูเหมือนบอสจะเกร็งๆ น้ำเสียงดูแข็งๆ ทั้งๆ ที่โดยปกติแล้วเขาเป็นคนร้องเพลงได้ดี เพียงแต่ไม่น่าจะเลือกเพลง "แก่" ขนาดนี้

กลับมาที่โต๊ะอาหาร สายเรียกเข้ามือถือของบอสยังคงดังสม่ำเสมอ เจ้าของมือถือก็สม่ำเสมอที่จะปฏิเสธการรับสาย เขาดูเป็นคนใจเด็ด และที่แน่ๆ ก็คงจะเป็นคนใจดำอย่างที่ตัวเขาเองเคยพูดให้ทั้งสองฟัง ถ้าเป็นคนอื่นมาฟังบอสก็คงจะต้องหมั่นไส้ไปตามๆ กัน

"พวกผู้หญิงนี่สงสัยชอบของแปลก บางคนเป็นลูกเจ้าของโรงแรมเลยนะ มาชอบผม ผมก็พูดจาตรงๆ แบบนี้น่ะ เคยมีอยู่วันนึง ผมนั่งนับแล้วมีผู้หญิงโทรเข้ามา 27 คน ไม่รู้มันจะอะไรกันนักกันหนา" บอสร่ายยาวแล้วก็พูดต่ออีกว่า "บางคนโทรมา ประมาณว่า ทำอะไร กินอะไร อยู่ที่ไหน เฮ้อ ไม่รู้จะโทรมาทำไม ไร้สาระ"

แม้นพนาศจะเป็นหญิงมั่นในสายตาของใครๆ แต่หล่อนก็อดไม่ได้ที่จะหมั่นไส้เล็กๆ ว่า ผู้ชายอะไรจะเนื้อหอมขนาดนั้นนนน

ร้องเพลง กินข้าวอิ่ม ได้เวลาย้ายไปที่อื่น พนักงานนำบิลมาให้นพนาศ หล่อนยื่นธนบัตรใบละหนึ่งพันบาทสอดไปในแฟ้ม บอสคล้ายจะแอบมองแล้วหันหน้ามองนพนาศ...ตกใจ อีกครั้งที่หล่อนไม่เข้าใจปฏิกิริยาของบอส ก็ทั้งสองคนบ่จี้แล้วใครจะเป็นคนจ่ายค่าอาหารมื้อนี้ล่ะถ้าไม่ใช่หล่อน

ทั้งสามย้ายไปร้านประจำ ณ ที่ซึ่งมีน้ำตาหลั่งออกมาจากตาของบอสในคืนนั้น

ไม่มีความคิดเห็น: